แม้ว่า Netflix จะเข้ามาเขย่าวงการสตรีมมิ่ง และเปลี่ยนพฤติกรรมการชมภาพยนตร์และซีรีส์ไปตลอดกาล แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขายังต้องการไขว่คว้าคือการมีแฟรนไชส์ดังเป็นของตัวเอง ในแบบเดียวกันกับที่ดิสนีย์มี Star Wars หรือวอร์เนอร์ฯ ที่มี Harry Potter
“เราอยากมี Star Wars หรือ Harry Potter ในแบบของเราเอง และเรากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา” แมตธิว ธูเนล รองประธานเน็ตฟลิกซ์กล่าว “แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างขึ้นได้ภายในชั่วข้ามคืน”
ในขณะที่เน็ตฟลิกซ์กลับเป็นสถานที่ที่เอื้อสำหรับการขยายแฟรนไชส์มากที่สุด เนื่องจากผู้อำนวยการสร้างที่ไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่งบอกว่าข้อดีของเน็ตฟลิกซ์คือ พวกเขาไม่พบปัญหาในแง่ของความร่วมมือระหว่างคนทำหนังและคนทำซีรีส์ ต่างจากสตูดิโอแบบดั้งเดิมที่ยังพบปัญหานี้อยู่
“ในสตูดิโอแบบดั้งเดิม พวกเขามีกำแพงใหญ่กั้นระหว่างทีมภาพยนตร์และทีมซีรีส์ แต่เพราะเน็ตฟลิกซ์เป็นบริษัทอายุน้อย กำแพงพวกนั้นไม่ทันได้ก่อขึ้นมาหรอก”
นอกเหนือจากซีรีส์ Stranger Things ที่ติดลมบนแล้ว เน็ตฟลิกซ์ยังคงตรากตรำสร้างแฟรนไชส์จากสิ่งที่มีอยู่ในมืออย่าง Bridgerton, Squid Game และ The Witcher ที่ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีผู้ชมสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเน็ตฟลิกซ์ รวมถึงการก่อร่างสร้างแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมอยู่แล้วอย่าง The Three-Body Problem, One Piece และ Avatar: The Last Airbender
ในด้านภาพยตร์ก็เช่นกัน เน็ตฟลิกซ์กำลังมุ่งเป้ากับความเติบโตของหนังชุด Enola Holmes, Old Guard, Extraction, Army of the Dead หรือแม้กระทั่งทุ่มเงินซื้อหนังสายลับ Knives Out มาทำภาคต่อด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ฝั่งนักวิเคราะห์ด้านความบันเทิงจาก Parrot Analytics กลับบอกว่า ปัญหาเดียวของเน็ตฟลิกซ์คือประสบการสร้างแฟรนไชส์ของพวกเขาอ่อนด้อยกว่าสตูดิโอในฮอลลีวูดที่มีอายุนานนับศตวรรษ
“เรามีความมั่นใจกับเครื่องกลเน็ตฟลิกซ์ เหมือนที่เรามั่นใจกับเครื่องกลดิสนีย์รึเปล่าน่ะเหรอ? ไม่หรอก ส่วนหนึ่งคือดิสนีย์ใช้เวลาหลายต่อหลายปีเพื่อกำหนดว่าเครื่องกลของพวกเขาจะออกมาหน้าตาเป็นยังไง แต่สำหรับเน็ตฟลิกซ์ที่กำลังครองพื้นที่สตรีมมิ่งอยู่ตอนนี้ พวกเขากลับยังค่อนข้างใหม่ในการสร้างโลกประเภทนี้”