หน้าแรก Trivia หลายผู้กำกับถอนตัว, นักแสดงออกยกชุด, วิบากกรรม Mission: Impossible III

หลายผู้กำกับถอนตัว, นักแสดงออกยกชุด, วิบากกรรม Mission: Impossible III

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าก่อนที่ Mission: Impossible จะกลายเป็นแฟรนไชส์ยักษ์ที่สามารถสร้างได้ถึงภาคที่ 7 และ 8 ได้อย่างตอนนี้ การจะทำหนังภาคสามออกมาได้นั้นมีความทุลักทุเลอย่างมาก จนเรียกได้ว่าเป็นการทำ “ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้” ของแฟรนไชส์เลยก็ว่าได้

ต้องเล่าย้อนไปในช่วงที่ ทอม ครูซ เริ่มทำ Mission: Impossible ภาคแรก ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกที่เขาอำนวยการสร้าง ทำให้เขาจริงจังมากที่จะปลุกปั้นแฟรนไชส์นี้ให้ถูกที่ถูกทาง จนได้จ้าง ไบรอัน เดอ ปาลมา เข้ามาดัดแปลงเรื่องราวตั้งต้นที่เป็นทีวีซีรีส์ให้กลายเป็นหนังบนจอใหญ่ แม้จะมีปัญหาอยู่ตลอดกระบวนการสร้าง แต่หนังก็สามารถทำเงินทั่วโลกได้กว่า $457 ล้าน และสามารถดึงตัว จอห์น วู เข้ามากำกับภาคต่อจนทำเงินอีกเป็นกอบเป็นกำกว่า $546 ล้าน

การสร้าง Mission: Impossible III จึงเป็นอะไรที่เสี่ยงและท้าทาย ครูซพยายามหาผู้กำกับที่เหมาะสมอยู่นาน แต่แล้ว เดวิด ฟินเชอร์ ที่เพิ่งทำผลงานฮิตอย่าง Panic Room ก็ไปเตะตาครูซเข้า

ฟินเชอร์เปิดเผยว่าเขามีไอเดียที่ “เจ๋งและรุนแรงมากๆ” สำหรับ Mission: Impossible III แต่ก็ยอมรับว่าการทำหนังกับค่ายพาราเมาท์ก็อาจทำให้เขาไม่สามารถสร้างหนังที่ต้องการได้ ถึงแม้ค่ายจะยอมให้ทำตามอำเภอใจสักครึ่งนึง เขาก็เลือกจะไปทำหนังเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่านี้ นั่นทำให้เขาเลือกที่จะไม่กำกับหนัง โดยให้เหตุผลว่ามีการขัดแย้งกันในแง่ความคิดสร้างสรรค์ และได้หันไปทำหนัง Zodiac แทน

โจ คานาฮาน เป็นผู้กำกับคนต่อไปที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Mission: Impossible III โดยมีไอเดียว่าจะเป็นหนัง Mission: Impossible ฉบับ “พังค์ร็อค” และ “หนังที่ล้อเลียนหนังสายลับ” ซึ่งห่างเหินจากหนังสองภาคแรกอย่างมาก อีกทั้งยังอยากทำให้หนังมีความเป็นแอ็คชั่นระทึกขวัญสเกลเล็กแบบ Marathon Man ด้วยทุนสร้าง $50 ล้าน

แต่ด้วยความที่พาราเมาท์เห็นความสำเร็จของหนังทุนสูงอย่าง Spider-Man, Harry Potter และ The Lord of the Rings ทำให้ค่ายอยากได้หนัง “ใหญ่” ที่ขัดต่อวิสัยทัศน์ของคานาฮาน ถึงขั้นได้จ้าง โรเบิร์ต ทาวน์ มือเขียนบทจากสองภาคแรกมาแก้บท จนโครงการล่วงเลยไปถึงขั้นคัดเลือกนักแสดงแล้วอย่าง เคนเน็ธ บรานาจห์ ในบทวายร้าย, แคร์รี-แอนน์ มอส ในบทตัวละครนำหญิง และ สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน ในบทสมทบ แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันเกินไประหว่างค่ายกับผู้กำกับ ทำให้คานาฮานถอนตัวออกไปในช่วงเตรียมงานสร้าง

ไม่ถึงเดือนหลังจากนั้นก็มีประกาศว่า เจ.เจ. เอบรามส์ ได้เข้ามากำกับ และได้เลือก โรเบอร์โต ออร์ซี และ อเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมน สองมือเขียนบทที่เคยร่วมงานจากซีรีส์ Alias เข้ามายกเครื่องบทเสียใหม่ และดูเหมือนว่าครั้งนี้หนังจะมีพัฒนาการที่ไกลกว่าครั้งไหนๆ

แต่นั่นทำให้ เคนเน็ธ บรานาจห์, แคร์รี-แอนน์ มอส และ สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน ถอนตัวออกไปเพราะการเปลี่ยนแปลงบทและตารางงาน แต่ก็เป็นใบเบิกทางสู่ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน, มิเชล โมนาแฮน และ ลอเรนซ์ ฟิชเบิร์น เข้ามาสวมบทสำคัญของเรื่องแทน จนทำให้หนังสามารถเดินกล้องได้ และออกฉายในที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2006 ซึ่งเป็นเวลากว่า 6 ปีหลังจาก Mission: Impossible II ออกฉาย

แต่น่าเสียดายที่หนังทำเงินทั่วโลกไปเพียง $397.8 ล้าน ซึ่งน้อยกว่าภาคก่อนหน้าราว $150 ล้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความมีมิติของตัวละครและความเล่นใหญ่ของภาคนี้ ก็ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญในหนังภาคต่อไปอย่าง Mission: Impossible – Ghost Protocol ที่ทำเงินพุ่งไปกว่า $694 ล้าน จนทำให้มีการสร้างอีกหลายต่อหลายภาค และกลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์สายลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้จนถึงบัดนี้