มาร์โก้ต์ ร็อบบี้ กลายเป็นนักแสดงอายุน้อยที่ก้าวขึ้นมาทัดเทียมนักแสดงฮอลลีวูดรุ่นพี่ด้วยเวลาไม่ถึง 10 ปี ด้วยผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ทำให้เธอสามารถก้าวขึ้นไปบนหลากหลายเวทีรางวัลตลอดหลายปีที่ผ่านมา หรือแม้แต่การหันไปจับงานเบื้องหลังอย่างหน้าที่อำนวยการสร้างเพื่อสั่งสมประสบการณ์ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเพชรเม็ดงามประดับฮอลลีวูดในยุคนี้ก็ว่าได้
มาร์โก้ต์ ร็อบบี้ เกิดและโตในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อดาลบี้ รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ร่วมอาศัยอยู่กับแม่และพี่น้องอีกสามคน แม่ของเธอที่เป็นนักกายภาพบำบัดหย่าขาดกับพ่อที่เป็นชาวไร่ในช่วงที่เธอยังเด็กๆ ทำให้เธอมักได้ไปใช้ชีวิตอยู่แบบสาวบ้านไร่กับพ่อของเธอเป็นครั้งคราว ทำกิจกรรมแบบเด็กบ้านนอกเขาทำกัน อย่างเช่นล่าหมูป่าหรือขี่มอเตอร์ไซด์ เธอเคยเล่าว่าสถานที่แห่งนั้นสวยงามราวกับภาพถ่าย แนวทิวทัศน์ที่ทอดยาวเห็นเส้นขอบฟ้าและทุ่งทองเหลืองอร่าม
“แต่ฉันไม่ค่อยชอบพูดถึงมันเท่าไหร่” ร็อบบี้แย้ง “เพราะมันทำให้เกิดความเหมารวมว่ามันต้องเป็นแบบนั้น ทุกคนมักจะอยากรู้ว่า ‘นอกหน้าต่างห้องนอนของเธอมีจิ้งโจ้มั้ย?’ ฉันก็ตอบว่า ‘ใช่ บ้านเพื่อนคนอื่นๆ ของฉันก็ไม่มีนะ’ หรืออย่างเช่น ‘มีงูเลื้อยไปเลื้อยมารึเปล่า?’ ฉันก็ตอบไปอีกนั่นแหละ ‘ใช่ ในบ้านของเราเลย แต่มันไม่ใช่เรื่องปกติของออสเตรเลียนะ'”
การเติบโตมาแบบเด็กบ้านนอกเหมือนเป็นการฟูมฟักให้เธอกลายเป็นผู้หญิงสายลุยมากกว่าภาพลักษณ์ชวนมองที่เราเห็นบนจอทีวี เพราะเธอเป็สปอร์ตเกิร์ลที่ทั้งเล่นฮ็อกกี้น้ำแข็ง เล่นเซิร์ฟ เจ็ทสกี และสโนว์บอร์ด “ฉันเป็นนักขับตัวยงด้วยนะ ฉันล่ะชอบรถเครื่องยนต์ วี-8 มากๆ”

งานแรกๆ ของ มาร์โก้ต์ ร็อบบี้ คือการเป็นพนักงานขายแซนวิชที่ Subway กระทั่งเธอได้ไปถ่ายโฆษณาโปรโมทแซนวิซและจับพลัดจับผลูได้เล่นละครโทรทัศน์ยอดนิยมของออสเตรเลียอย่าง Neighbours ทีแรกเธอเป็นแค่นักแสดงรับเชิญ แต่ภายหลังเธอกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งในละครเรื่องนี้ถึง 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2011
หลังจากนั้นไม่นานเธอได้โดดมาเล่นหนังฮอลลีวูดเรื่องแรกเป็นบทเล็กๆ ในหนังรักโรแมนติค About Time ในปี 2013 และในปีเดียวกันนั้นเธอก็ได้แจ้งเกิดในบท นาโอมิ ลาพาเกลีย สาวเซ็กซี่ชวนหลงใหลใน The Wolf of Wall Street ของผู้กำกับ มาร์ติน สก็อร์เซซี่
สำหรับอาชีพนักแสดงแล้วจะมีโอกาสไหนที่ดีไปกว่าการได้เล่นหนังของ มาร์ติน สก็อร์เซซี่ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ มาร์โก้ต์ ร็อบบี้ ทำสิ่งที่ไม่คาดฝันในช่วงแคสติ้งบทร่วมกับ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ เพื่อเอาชนะใจผู้กำกับคนดังคนนี้ให้ได้
“ฉันคิดอยู่ในหัวว่า ‘ฉันเหลือเวลาแค่ 30 วินาทีในห้องนี้ ถ้าฉันไม่ทำอะไรสักอย่างที่น่าประทับใจทุกอย่างก็สูญเปล่า มันเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ลุยกันเลย” ร็อบบี้นึกย้อน “ฉันเลยเริ่มกรีดร้องใส่เขา เขาตะคอกกลับ เขาน่ากลัวมากๆ ฉันแทบจะทนไม่ไหวแหนะ แล้วตอนท้ายเขาก็พูดว่า ‘เธอควรมีความสุขที่มีผัวแบบฉัน ทีนี้มาจูบฉันซะเดี๋ยวนี้’ ฉันเดินไปใกล้เขาแล้วคิดว่า ‘บางทีฉันอาจจะจูบเขา ฉันจะมีโอกาสได้จูบ ลีโอ ดิคาปริโอ ได้อีกเมื่อไหร่กันล่ะ?”
“แต่สมองอีกด้านกลับไม่คิดแบบนั้น ป๊าบ! ฉันตบหน้าเขา จากนั้นฉันก็ตะโกน ‘ไปตายซะ!’ มันไม่ได้อยู่ในบท คนในห้องเลยเงียบเป็นเป่าสาก ส่วนฉันก็ยืนตัวแข็งทื่อ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งของความโด่งดังเกิดขึ้นจากการเปลือยกายของเธอใน The Wolf of Wall Street นักแสดงสาวที่อายุ 23 ปีในตอนนั้นยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องภาพเปลือยกายที่จะว่อนอยู่ในอินเตอร์เน็ตไปอีกนานแสนนาน
“ภาพเปลือยสมัยนี้กับสมัยก่อนต่างกันเพราะอินเตอร์เน็ต ถ้าฉันเล่นเรื่องนี้มันก็จะเป็นคลิปอยู่บนยูทูปไปตลอดกาล ฉันเห็นมีคลิปแบบสโลวโมชั่นด้วย มันไม่ใช่แค่มีผลกระทบต่อตัวฉันคนเดียว พี่น้องฉัน ปู่ย่าตายายฉันก็ต้องรับมือกับเรื่องนี้ ดังนั้นฉันเลยต้องคิดให้ดีก่อน”
อย่างไรก็ตาม ร็อบบี้รู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจาก จะมีสักกี่คนที่ได้เล่นคู่กับ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ? และจะมีสักกี่คนที่ได้เล่นหนังของ มาร์ติน สกอร์เซซี่?
“ตอนฉันอ่านบทฉันพูดเลยว่า ‘ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะต้องแก้ผ้า นั่นมันโง่เง่าสุดๆ นี่มันก็แค่เปลือยเพื่อให้มีฉากเปลือยเท่านั้นแหละ’ ตอนนั้นฉันไม่เห็นด้วยเลยสักนิด แต่ตอนหลังฉันคิดว่ามันไม่ได้มีอะไรน่าละอายใจ ถ้ามันสมควรและตัวละครเป็นคนแบบนั้น มันก็ควรจะมี”

หลังจากนั้นร็อบบี้ก็ได้รับบทนำในหนังเรื่องดังเรื่อยมา ทั้งรับบทเป็นหญิงหนึ่งเดียวในโลกล่มสลายใน Z for Zachariah, เป็นนักต้มตุ๋นประกบกับ วิล สมิธ ใน Focus, เป็นรักตลอดกาลของเจ้าแห่งพงไพรใน The Legend of Tarzan และผลงานที่ทำให้มีคนรู้จักเธอแบบทวีคูณอย่าง Suicide Squad ในบทสาวโรคจิต ฮาร์ลีย์ ควินน์ แต่สิ่งที่ทำให้เธอภาคภูมิใจที่สุดกับการทำงานสายภาพยนตร์คือการสร้าง I, Tonya หนังที่เธอรับหน้าที่อำนวยการสร้างเป็นเรื่องแรก และลงมือลงแรงจนหนังสามารถออกสู่สายตาผู้ชมได้สำเร็จ
“มันเป็นบทที่ยากมากๆ และเต็มไปด้วยความท้าทาย คุณจะไม่ได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากสิ่งที่แหกคอกสุดๆ แบบนี้หรอก” ร็อบบี้กล่าว “ระยะเวลาเล่าของบททอดยาวกว่าสี่สิบปี มันเป็นงานอำนวยการสร้างที่ใหญ่มาก”
ในที่สุดร็อบบี้ได้พิสูจน์แล้วว่า I, Tonya คือความสำเร็จอีกขั้นของเธอ ทั้งการที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม รวมไปถึงสาขาอื่นอย่างเช่นนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมและตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
การเริ่มเข้ามามีบทบาทในเบื้องหลังเกิดขึ้นจาก ลัคกี้แชป เอ็นเตอร์เท็นเมนท์ บริษัทหนังที่เธอก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ร่วมกับสามีของเธอ ทอม แอ็คเคอร์ลีย์ และเพื่อนๆ ซึ่งตั้งอยู่ในออฟฟิสสไตล์บ้านไร่อากาศถ่ายเทสะดวกในลอสแอนเจลลิส ที่บริษัทเกิดขึ้นก็เพราะร็อบบี้อยากสร้างผลงานของตัวเองจริงๆ รวมถึงการควบคุมเนื้อหาและสนับสนุนครีเอทีฟหญิงเก่งๆ มาเข้าร่วมโครงการ
“เธออ่านบทหนังทุกฉบับ เราบอกเคยบอกเธอว่าไม่จำเป็นต้องอ่านมันทุกวันขนาดนั้นก็ได้” แอ็คเคอร์ลีย์บอกว่าภรรยาเขามักมีส่วนร่วมกับทุกอย่าง บางครั้งก็มีส่วนร่วมมากเกินไปด้วยซ้ำ “จริงนะ เธอทำงานมากเกินไปจริงๆ”

การที่ร็อบบี้เริ่มมีบทบาทสำคัญในวงการฮอลลีวูด เธอจึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เธอจะสื่อสารออกไปในภาพยนตร์ อย่างเช่นหนังเรื่องล่าสุดของเธอ Bombshell หนังที่สร้างจากเรื่องจริงสุดอื้อฉาวของการตีแผ่เบื้องลึกเบื้องหลังวงการสื่อมวลชน เล่าเรื่องราวของเหล่าสตรีห้องข่าวที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับ โรเจอร์ เอลส์ ผู้ก่อตั้งฟ็อกนิวส์ที่ล่วงละเมิดทางเพศพวกเธอ ซึ่งก่อนหน้านี้ร็อบบี้ไม่เคยรู้ถึงการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานเลย กระทั่งเธอได้อ่านบทหนังเรื่องนี้
“สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจตอนที่ฉันอ่านบทครั้งแรก คือการล่วงละเมิดทางเพศนั้นรวมไปถึงการพูดเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสมด้วย ฉันคิดมาตลอดว่ามันจะต้องมีการแตะเนื้อต้องตัวกันเพื่อจะบอกได้ว่าผิดกฏหมายรึเปล่า มันเลยทำให้ฉันตกใจจริงๆ”
ในหนังเรื่องนี้เธอรับบทเป็น เคย์ล่า พอสพิซิล ตัวละครสมมติที่สร้างจากเรื่องราวในชีวิตจริงของผู้หญิงหลายคนที่ทำงานในฟ็อกซ์นิวส์ การรับบทนี้จึงทำให้เธอรู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้งและความรับผิดชอบในการเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ และขณะเดียวกันเธอก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากบทนี้ด้วยเช่นกัน
“การล่วงละเมิดทางเพศไม่ใช่ปัญหาที่ผู้หญิงต้องเป็นคนแก้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นหน้าที่ของพวกผู้หญิงที่ต้องหาทางออกและแก้ไขมันเพียงเพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ ฉันคิดว่ามันคือหน้าที่ของทุกคน”

ในขณะที่ Bombshell เป็นหนังแนวสิทธิสตรีในกระแสรางวัลที่อาจแตะไม่ถึงคนหมู่มาก Birds of Prey อาจเป็นตัวแทนสำหรับหนังพลังหญิงที่แมสมากขึ้น เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ที่สำคัญคือ มาร์โก้ต์ ร็อบบี้ รับหน้าที่นำแสดงและอำนวยการสร้างด้วยตัวเอง เป็นผลทำให้เธอมีอำนาจผลักดันหนังในทิศทางที่ต้องการ จนมันกลายเป็นหนังพลังหญิงทั้งในจอและนอกจอ เพราะนอกจากที่ตัวละครนำจะเป็นทีมผู้หญิงสายบู๊แหลกแล้ว ทีมเบื้องหลังอย่างผู้กำกับและมือเขียนบทก็เป็นผู้หญิงด้วยเช่นกัน โดยมี เคธี่ ยาน หญิงเอเชียคนแรกที่ได้กำกับหนังดีซี และเขียนบทโดย คริสติน่า ฮอดสัน มือเขียนบทจาก Bumblebee
“มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันที่จะได้มอบโอกาสให้ผู้หญิง” ร็อบบี้อธิบาย “เพราะที่ผ่านมาพวกเขามักได้รับโอกาสน้อย แต่ยังไงตาม คนที่เก่งที่สุดก็ควรจะได้รับงานไป ถ้าคนนั้นเป็นผู้ชาย เราก็จะให้เขากำกับหนัง แต่เคธี่ (ผู้กำกับ) เป็นคนที่เก่งที่สุดสำหรับงานนี้”
อย่างที่บอก Birds of Prey เหมือนเป็นการปลดแอกผู้หญิงจากอำนาจของผู้ชาย แนวคิดนี้ยังถูกถ่ายทอดสู่องค์ประกอบในหนังโดยเริ่มจากการที่ทำให้ตัวละคร ฮาร์ลีย์ ควินน์ เลิกกับ โจ๊กเกอร์ ผู้ที่ทั้งรักทั้งร้ายกับเธอ สู่การเป็นผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเอง ไร้ภาระผูกพันธ์ทางความสัมพันธ์ กลายเป็น ฮาร์ลีย์ ควินน์ ที่สร้างขึ้นมาจากมุมมองของผู้หญิงอย่างแท้จริง
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณมีผู้หญิงเป็นผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ และมือเขียนบท” ร็อบบี้กล่าว “ใช่ค่ะ มันผ่านมุมมองของเพศชายน้อยลง”

เมื่อถามถึงแผนการในอนาคต สาวผู้มาดมั่นตั้งใจคนนี้ยืนยันว่าจะยังคงทำงานในสายภาพยนตร์ต่อไป แต่อาจหันไปเป็นผู้อำนวยการสร้างหรือผู้กำกับอย่างเต็มตัวเพื่อจะได้สื่อสารสิ่งที่เธอต้องการอย่างเต็มที่ ถึงขั้นวางแผนไปไกลถึงตอนที่อายุ 80 ปีแล้วว่าชีวิตเธอควรจะลงเอยแบบไหน
“ฉันหวังว่าฉันจะมองย้อนกลับมาแล้วรู้สึกว่าฉันใช้เวลาไปอย่างคุ้มค่า ฉันไม่สนใจหรอกว่าหนังที่ฉันทำไม่ประสบความสำเร็จ ตราบใดที่ฉันรู้ว่าฉันทุ่มเททุกอย่างเท่าที่จะทำได้และได้มอบความรักแก่คนที่ฉันทำงานด้วยก็พอแล้ว”
อ้างอิง Good Morning America, Dailymail, Digital Spy, Dailymail, JOE, Vogue, Vanity Fair, The List, Vogue, Sky