ในขณะที่ลูคัสฟิล์มไม่มีการปล่อยหนังจากแฟรนไชส์ Star Wars ออกมาเลย นับตั้งแต่ Rise of Skywalker ในปี 2019 โดยมีการคาดว่าอย่างเร็วที่สุดที่เราจะได้ดูหนังภาคใหม่ก็อาจจะเป็นหนังของ เดมอน ลินเดลอฟ ในปี 2025 ซึ่งเป็นเวลายาวนานกว่า 6 ปี แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? สื่อวงในอย่าง Puck News บอกว่าตอนนี้ลูคัสฟิล์มกำลังเผชิญ“ความกลัวและความไม่แน่ใจ” ต่อแฟรนไชส์ครับ
เป้าหมายสำคัญของลูคัสฟิล์มในตอนนี้คือการทำให้หนังเรื่องใหม่ให้ “ถูกต้อง” ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการที่หัวเรือใหญ่อย่าง แคธลีน เคเนดี ตัดสินใจว่าไตรภาคที่ผ่านมาจะเป็นการเพลย์เซฟ โดยเลือกให้หนังมีแฟนเซอร์วิสอยู่เหนือกว่าความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งทำให้แฟนบางส่วนงุนงง และเคเนดีเองก็ไม่ชอบการตัดสินใจที่ผ่านมาของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งไอเดียดั้งเดิมของ ไมเคิล แอร์นท์ ซึ่งนำไปสู่ความหวังใหม่ของ The Force Awakens ที่นำโดยเจ.เจ. เอบรามส์ รวมถึงการตัดสินใจละทิ้งตำนานใน The Last Jedi ของ ไรอัน จอห์นสัน ซึ่งเป็นไอเดียที่เคเนดีสนับสนุน กระทั่งเกิดการเปลี่ยนใจและนำไปสู่หนังแฟนเซอร์วิสแบบ Rise of Skywalker
อีกปัจจัยที่ทำให้หนังภาคใหม่มีความเชื่องช้า คือเคเนดีมีความรู้สึกว่าหนังต้อง “ดีจริงๆ”, “แตกต่างจากซีรีส์บน Disney+”, “เลี่ยงแฟนเซอร์วิส” และ “มีรากฐานมาจากสิ่งที่แฟนๆ สตาร์วอร์สชื่นชอบ” ซึ่งจะนำไปสู่ยุคใหม่ของแฟรนไชส์อย่างแท้จริง แต่อันดับแรกคือลูคัสฟิล์มต้องกล้าที่จะเอาชนะตัวเองเสียก่อน
“ดิสนีย์จำเป็นต้องนำเสนอ Star Wars อีกครั้ง ในขณะที่ตอนนี้พวกมันยังอยู่บนจอโทรทัศน์ มันคืองานหิน หรือไม่ก็อาจจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง” รายงานกล่าว