อย่างที่รู้กันว่า Dune หนังเรื่องล่าสุดของ เดอนีส์ วิลล์เนิฟ หยิบขึ้นมาทำ ถูกดัดแปลงจากนิยายคลาสสิคเล่มหนาเตอะของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ซึ่งเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อย วิลล์เนิฟจึงไม่ดันทุรังที่จะยัดเนื้อหาเหล่านั้นลงในหนังเรื่องเดียว เพราะหนังที่กำลังจะฉายปลายปีนี้จะดัดแปลงจากนิยายแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกภาคในอนาคตจะเป็นภาคจบครับ
“ผมจะไม่ยอมดัดแปลงหนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังเรื่องเดียวเด็ดขาด โลกนี้ซับซ้อนเกินไป มันเป็นโลกที่มีรายละเอียดที่ทรงพลัง” วิลล์เนิฟบอก
การทำหนังที่เล่าเรื่องราวของสงครามการแย่งชิงทรัพยากรที่เรียกว่า “เครื่องเทศ” (spice) ซึ่งดวงดาวที่เป็นแหล่งของมันกำลังจะเหือดแห้ง วิลล์เนิฟบอกว่าในมุมมองของเขามันไม่ใช่เรื่องของการผจญภัยอวกาศ แต่มันคือคำทำนาย
”ไม่ว่าคุณจะเชื่ออะไรก็ตาม โลกกำลังเปลี่ยนไป และเราต้องปรับตัว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมนึกถึง Dune หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นมาในศตวรรษที่ 20 มันเป็นภาพที่ห่างไกลจากความเป็นจริงในเรื่องของนำ้มัน ทุนนิยม และการแสวงหาผลประโยชน์ การแสวงหาผลประโยชน์ที่มากเกินไปต่อโลกใบนี้ ในวันนี้สิ่งต่างๆ แย่ลง มันเป็นเรื่องราวการก้าวพ้นวัย แต่ยังเรียกได้อีกอย่างว่าการมอบโอกาสแก่ลูกหลาน”
“มันเป็นหนังสือที่พูดถึงการเมือง ศาสนา นิเวศวิทยา จิตวิญญาณ และเต็มไปด้วยตัวละครมากมาย ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่มันยาก บอกตามตรง มันเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตผมเลย”
Dune เล่าเรื่องราวของ พอล อาเทรเดส ชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมกับชะตากรรมอันยิ่งใหญ่เกินกว่าความเข้าใจของตัวเอง เขาต้องเดินทางไปยังดวงดาวอันตรายที่สุดในจักรวาลเพื่อความปลอดภัยของราชวงศ์ของเขาที่ปกครองดาวนี้อยู่ ท่ามกลางความขัดแย้งจากราชวงศ์ที่เป็นปรปักษ์ที่หวังยึดครองทรัพยากรล้ำค่าอย่าง “สไปซ์” พืชที่สามารถปลดล็อกศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ
หนังเต็มไปด้วยนักแสดงแถวหน้ามากมาย ได้แก่ ทีโมธี ชาลาเม็ต, รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน, เซนเดย์อา, เจสัน โมมัว, ออสการ์ ไอแซ็ค, เดฟ บาทิสต้า, สเตลเลน สการ์สการ์ด, จอช โบรลิน และ ฮาเวียร์ บาร์เด็ม
เดอนีส์ วิลล์เนิฟ รับหน้าที่กำกับและร่วมเขียนบทกับ อีริค รอธ (The Curious Case of Benjamin Button) และ จอน สเปทส์ (Prometheus) มีกำหนดฉายในสหรัฐ 18 ธันวาคม 2020
