หลังจากวอร์เนอรฯ ปล่อยตัวอย่างแรกของ Dune ออกมา ทางผู้กำกับ เดอนีส์ วิลล์เนิฟ (Blade Runner 2049) ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ EW เพื่ออธิบายข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมจากที่ตัวอย่างไม่ได้บอกไว้ และหนึ่งในนั้นคือการสู้รบในหนังครับ
วิลล์เนิฟบอกว่าเขาตั้งใจให้การสู้รบในหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนเกมหมากรุก มากกว่าที่เป็นฉากการต่อสู้แบบในหนังเรื่องอื่นๆ
“ผมทำงานร่วมกับผู้ประสานงานสตันท์และนักออกแบบลีลาของเราเพื่อพัฒนาวิธีการสู้รบให้ใกล้เคียงเกมหมากรุกมากกว่าฉากการต่อสู้กัน เมื่อคุณต่อสู้กับคนที่มีเกราะ แนวคิดก็คือทำให้พวกเขาทำให้เขวด้วยการเคลื่อนไหวไม่ให้ทันตั้งตัว คุณต้องเบี่ยงความสนใจของพวกเขาด้วยท่าการเคลื่อนไหวเฉพาะเพื่อให้คุณสามารถแทงใบมีดไปที่พวกเขาได้อย่างช้าๆ”
“มันเป็นวิธีการสู้รบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง มันเป็นการสู้รบที่รวดเร็วมากๆ มันเหมือนเกมหมากรุก คุณต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าและเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่ายตรงข้าม มันเป็นศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่ที่พิเศษมากๆ”
นอกจากนี้วิลล์เนิฟยังให้เหตุผลด้วยว่าสาเหตุที่ผู้คนใน Dune สู้รบกันแบบประชิดตัวมากกว่าที่จะใช้ปืน ทั้งๆ ที่อยู่ในโลกอนาคตแสนไกล เป็นเพราะมันคือผลลัพธ์ทางอ้อมที่เกิดจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
“ในจักรวาลแห่งนี้มีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าเกราะโฮลตซ์แมน เป็นสิ่งที่คุณสามารถสวมใส่ไว้บนร่างกายและมันจะหันเหทิศทางของสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาคุณอย่างรวดเร็ว ทำให้มีแค่อะไรที่ช้าๆ เท่านั้นจะสามารถเจาะเกราะนั้นได้ ฉะนั้นพวกเขาเลยใช้กระสุนกันน้อยลง มนุษยชาติกลับไปสู่การต่อสู้ระยะประชิดที่คุณจะสู้ด้วยมีดและดาบ เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่คุณจะฆ่าใครสักคนผ่านเกราะพวกนั้นได้ คุณสามารถเจาะเกราะพวกนั้นอย่างช้าๆ ได้ด้วยใบมีด”
Dune บอกเล่าเรื่องราวของ พอล อาทรีเดส (ทีโมธี ชาลาเม็ต) เด็กหนุ่มอัจฉริยะเจ้าของพรสวรรค์ลำค่าที่เกิดมาพร้อมกับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหยั่งถึง เขาต้องเดินทางไปยังดาวเคราะห์ที่อันตรายที่สุดในจักรวาลเพื่อปกป้องอนาคตของครอบครัวและผู้คนของเขาจากการรุกรานของกองทัพชั่วร้ายผู้สร้างความขัดแย้งไปทั่งทุกสารทิศ เพราะต้องการแย่งชิงทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดที่เคยมีมา นั่นก็คือเครื่องเทศที่มีสรรพคุณวิเศษ สามารถดึงพลังซ่อนเร้นในตัวมนุษยชาติออกมาได้ แต่ศึกครั้งนี้มีเพียงผู้เอาชนะความกลัวเท่านั้นที่อยู่รอด
กำกับโดย เดอนีส์ วิลล์เนิฟ (Arrival, Blade Runner 2049) และร่วมเขียนบทกับ อีริค รอธ (The Curious Case of Benjamin Button) และ จอน สเปทส์ (Prometheus) มีกำหนดฉายในไทย 17 ธันวาคมนี้