“ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นตอน Avengers: Infinity War และ Endgame พวกเขาเลื่อนฉายเร็วขึ้นหนึ่งเดือน แต่มาร์เวลไม่ได้บอกพวกเรา”
ศิลปิน VFX นาม เดวิด เล่าประสบการณ์การร่วมงานกับดิสนีย์และมาร์เวล ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาทราบว่ามีการเลื่อนฉายหนังเร็วขึ้นจากข่าวบนเน็ต ก่อนที่หัวหน้าของพวกเขาจะแจ้งว่ามาร์เวล “ลืมบอก” บริษัทถึงเรื่องนี้
“ผมจำได้เลยว่าตอนอยู่กับทีม มีศิลปินคนนึงเข้ามาหาผมแล้วถามว่า ‘เฮ้ย นายเห็นนี่ยัง?’ แล้วเขาก็เอาบทความที่บอกว่ามาร์เวลเลื่อนฉายหนังเร็วขึ้นเดือนนึงให้ผมดู แปลว่าเรารู้เรื่องนี้จากข่าว ซึ่งทำให้เราเหลือเวลาไม่ถึงเดือนเพื่อทำฉากพวกนี้ให้เสร็จ”
“มาร์เวลเป็นตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดของอุตสาหกรรมนี้” ศิลปินอีกคนที่ชื่อแซมกล่าว “จริงอยู่ที่บางครั้งมันก็มีดีบ้างแย่บ้าง แต่สำหรับมาร์เวล มันแทบจะเป็นเรื่องแย่ทุกครั้งกับทุกๆ เรื่อง พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำเรื่องแย่ๆ ใส่คุณ และมันจะแย่อย่างต่อเนื่อง”
“แม้กระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว พวกเขายังไม่มั่นใจว่าฉากใหญ่ๆ นั้นควรจะออกมาแบบไหน เรายังทำคอนเซปท์อาร์ทกันอยู่เลย” ศิลปินที่ชื่อเฮคเตอร์กล่าวการออกแบบที่ควรจะเป็นสิ่งแรกที่ได้รับการอนุมัติ เพื่อให้การทำ VFX ออกมาราบรื่น “ปรากฏว่าส่วนต่างๆ ของฉากนั้นเสร็จหมดแล้วทั้งแสง เอฟเฟ็ค พื้นผิว และแอนิเมชั่น พร้อมหมดแล้ว แต่มาร์เวลก็ยังไม่อนุมัติภาพคอนเซปท์อาร์ท”
แหล่งข่าวระบุว่ามาร์เวลตั้งใจถ่ายหนังของตัวเองในลักษณะที่สามารถเปลี่ยนแปลงรายละเอียดได้ทั้งหมด ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ในนาทีสุดท้าย มีการถ่ายจริงน้อยมาก แม้แต่สิ่งที่ถ่ายมาแล้วก็ต้องถูกปรับแต่ง
“ถ้าคุณได้เห็นเพลท(ไฟล์ภาพที่ยังไม่ถูกปรับแต่งและใส่ซีจี)ของใครสักคน มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้มันดูสมจริงได้ นั่นคือสิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกมาร์เวล เห็นหลายคนบอกว่า ‘วิชวลเอฟเฟ็คดูแย่จัง’ ผมก็จะบอกไปว่า ‘ไม่ พวกคุณควรเห็นเพลทพวกนั้น ได้เห็นสิ่งที่พวกเขาให้เรามา เพราะมันเหี้ยสิ้นดี’”
นอกจากนี้ศิลปินชื่อ คอนราด เล่าถึงตอนครั้งที่ทำ Doctor Strange ภาคแรกด้วยว่า การฉายหนังในช่วงแรกๆ VFX ยังไม่ใช่ฉบับสุดท้ายด้วยซ้ำ เพราะพวกเขายังคงทำงานกันอยู่เลยตอนที่หนังฉายไปแล้วในอังกฤษ (ฮ่องกงฉาย 13 ตุลาคม, อังกฤษฉาย 25 ตุลาคม) ซึ่งทั้งหมดได้เสร็จสมบูรณ์ตอนที่หนังฉายในอเมริกาวันที่ 28 ตุลาคม
ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้มักมีมุกวงในที่ศิลปิน VFX ชอบเล่นกันคือ “มีหนังเรื่องไหนไหมที่ทำให้นายร้องไห้?” แล้วคนถูกถามก็จะถามต่อว่า “หนังในโรงหรือในออฟฟิศ?”