มีอะไรๆ เปลี่ยนไปไม่น้อยหลังจากที่ วอลเตอร์ ฮามาดะ เข้ามารับตำแหน่งประธานดีซีฟิล์ม ซึ่งเขาเคยทำหน้าที่ผู้บริหารการผลิตของ New Line Cinema ผู้ปลุกปั้น The Conjuring และ It จนประสบความสำเร็จ แต่ถึงจะเคยทำงานใหญ่มาก่อน แต่ฮามาดะก็ต้องเข้ามาบริหารหนังดีซีที่กระท่อนกระแท่นหลังจากหนัง Batman V Superman: Dawn of Justice, Suicide Squade และ Justice Leauge
ดังนั้นเอง Aquaman, Joker, Shazam, Birds of Prey และ Wonder Woman 1984 ถือเป็นหนังที่ฮามาดะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ และกำลังจะมีหนังตามมาอีกมากมายอย่าง The Batman, The Suicide Squad, The Flash, Shazam 2 และ Black Adam ซึ่งคำถามสำคัญก็คืออนาคตของหนังเหล่านี้และนอกเหนือจากนี้จะเป็นอย่างไร?
ล่าสุดในระหว่างที่ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์คไทม์ส ฮามาดะก็ได้เผยถึงแผนการสร้างหนังฮีโร่จากคอมมิคดีซีในอนาคตว่า หนังฮีโร่ฟอร์มยักษ์ทั้งหลายยังคงถูกออกแบบให้ฉายในโรงภาพยนตร์ แต่สำหรับตัวละครที่ต้องแบกรับความเสี่ยงมากกว่าอย่าง Batgirl หรือ Static Shock อาจนำไปฉายใน HBO Max แทน รวมไปถึงความพยายามในการสร้างภาคแยกจากหนังเพื่อฉายใน HBO Max โดยที่เรารู้ตอนนี้ก็มี ซีรีส์ตำรวจที่เป็นภาคแยกของ The Batman และ Peacemaker ภาคแยกของตัวละครจาก The Suicide Squad
“สำหรับหนังทุกเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ เราคิดอยู่เสมอว่า ‘อะไรจะกลายเป็นภาคแยกได้บ้าง?” ฮามาดะกล่าว
ซึ่งแผนที่วางไว้คือการสร้างหนังฮีโร่ให้ได้ 4 เรื่องต่อปี นับตั้งแต่ปี 2022 โดยฉายในโรงภาพยนตร์ 2 เรื่อง และฉายบน HBO Max 2 เรื่อง
ดิสนีย์เป็นสตูดิโอตัวอย่างที่ดีในแง่ที่หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือกันเพื่อสร้างสรรค์ผลงานออกมา แต่ที่ผ่านมาวอร์เนอร์ฯ ไม่เคยเป็นเช่นนั้น จนกระทั่ง AT&T เข้าซื้อวอร์เนอร์ฯ ในปี 2018 ซึ่งได้ออกคำสั่งให้มีการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทให้มากขึ้น
“ในอดีตเราเต็มไปด้วยความลับ เรื่องนี้ทำให้ผมตกใจมาก อย่างเช่นมีไม่กี่คนในบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้อ่านบทหนังที่เรากำลังทำอยู่”
ปัญหายังไม่หมดเพียงแค่นั้น หลังยุคหนังยักษ์ล้มอย่าง Justice League เบน แอฟเฟล็ค อยากจะสร้างหนังเดี่ยวแบทแมนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่ผู้สร้างคนอื่นๆ ก็อยากจะทำหนังฮีโร่ดีซีที่ไม่เกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องอื่น หรืออย่างแย่ก็คือเส้นเรื่องขัดแย้งกันไปเลย ซึ่งเป็นความยุ่งยากที่เกิดจากการไม่ได้มีคนคุมเนื้อเรื่องโดยคนๆ เดียวแบบมาร์เวล ฮามาดะเลยแก้ปัญหาด้วยการทำหนัง Multiverse หรือจักรวาลคู่ขนาน ที่ทำให้มีหลากเส้นเรื่องและหลายตัวละครพร้อมกันได้ อย่างเช่น Wonder Woman ของกัล กาโดท์ อยู่ใน Earth-1 ในขณะที่ The Batman ของโรเบิร์ต แพตทินสัน จะอยู่ใน Earth-2 (เข้าใจว่าการเรียก Earth ดังกล่าวไม่ใช่ชื่อทางการ) ซึ่งได้สร้างอิสระต่อการเล่าเรื่องและการใช้ตัวละคร
แม้ตัวละครบางตัวจะอยู่ในคนละจักรวาล แต่ยังมีทางที่ทำให้พวกเขามาเจอกันได้ อย่างเช่นหนัง The Flash ที่จะเชื่อมโยงหลากจักรวาลเข้าด้วยกัน เพราะ เบน แอฟเฟล็ค และ ไมเคิล คีตัน จะกลับมารับบทแบทแมนในฉบับของตัวเองอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แนวคิดการทำจักรวาลคู่ขนานนั้นไม่ง่าย แม้ดีซีจะเคยเล่าเรื่องแบบนี้ในซีรีส์ของช่อง CW มาก่อน แต่สำหรับบนจอใหญ่ หนังเหล่านี้จำเป็นต้องดึงดูดผู้ชมในวงกว้างกว่า ไม่ใช่แค่ผู้ชมแฟนแอนิเมชั่นหรือคอมมิค การเปลี่ยนนักแสดงในบทเดิมก็อาจทำให้ผู้ชมไม่อินหรือสับสนได้เช่นกัน
”ผมไม่คิดว่าจะมีใครเคยพยายามทำแบบนี้มาก่อน” ฮามาดะออกความเห็น “แต่ผู้ชมก็มีความซับซ้อนมากพอที่จะเข้าใจมันอยู่นะ หากเราทำหนังที่ดีได้ ผู้ชมก็จะเข้ามาดูเอง”
เมื่อพูดถึง Zack Snyder’s Justice League หนังที่ลงเงินกว่า $70 ล้านให้ แซ็ค สไนเดอร์ ทำหนังฉบับที่แท้จริงออกมาให้สำเร็จ คล้ายกับว่าดีซีกำลังมีแผนในอนาคตต่อหนังฉบับนี้ แต่เปล่าเลย ฮามาดะกล่าวว่าหนังเรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในแผนใดๆ เลยของดีซี ซึ่งเขาเรียกมันว่า “ถนนไร้จุดหมาย” คล้ายกับว่าพวกเขากำลังรอดูว่ากระแสจะนำพาหนังไปสู่จุดไหนกันแน่
ถึงแม้ว่าจนถึงตอนนี้ เราไม่อาจมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของดีซีได้ชัดนัก แต่สำหรับ เจมส์ วาน ผู้สร้างหนังที่ร่วมงานกับฮามาดะมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การสร้าง The Conjuring ก็ดูเหมือนจะวางใจกับการทำงานร่วมกับฮามาดะในบ้านฮีโร่หลังนี้เป็นอย่างดี
”หลายครั้งในการประชมในสตูดิโอ พวกผู้บริหารมักเอาแต่พูดคำศัพท์ซ้ำๆ แล้วก็พูดขำขันใส่กัน” วานเล่า “แต่วอลเตอร์พูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์ มีประโยชน์ และสำคัญ เขาคุยด้วยภาษาที่ผมเข้าใจ”