หน้าแรก Article ผู้กำกับ บงจุนโฮ พูดถึงความหมายของ “หินปราชญ์” ใน Parasite

ผู้กำกับ บงจุนโฮ พูดถึงความหมายของ “หินปราชญ์” ใน Parasite

**เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ Parasite**

หากใครได้ชม Parasite แล้ว หลายคนคงเห็นวัตถุอย่างหนึ่งที่ติดตามไปเกือบจะทั้งเรื่องอย่าง “หินภูมิทัศน์” ซึ่งปรากฏให้เห็นครั้งแรกในหนังตอนที่ มิน เพื่อนของ คิมกีอู มาเยี่ยมบ้านพร้อมกับของขวัญ ด้วยลักษณะภายนอกที่ดูไร้ประโยชน์ ผู้เป็นแม่อย่าง คิมจองซุก กลับบอกว่าน่าจะเอาของกินมาฝากยังดีเสียกว่า แต่ถึงอย่างนั้นหินธรรมดาก้อนนั้นเหมือนจะพาความโชคดีมาให้ครอบครัวของพวกเขา

“หินภูมิทัศน์” หรือที่ชาวเกาหลีเรียกกันว่า ซูซ็อค มีประวัติศาสตร์ยาวนานในแถบเอเชียตะวันออก การเก็บสะสมหินสวยงามเหล่านี้ถูกทำมาอย่างต่อเนื่องนับพันปี และกลายเป็นของประจำบ้านชาวเกาหลีในช่วงราชวงศ์โชซอน (1392-1897) กระทั่งหินเหล่านี้ปรากฏอยู่บนโต๊ะของนักวิชาการผู้ทรงปัญญามากขึ้น มันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “หินปราชญ์” ซึ่งบางชิ้นถูกทำจากแร่ธาตุหายากและสามารถทำเงินจากการประมูลได้มหาศาล

ผู้กำกับ บงจุนโฮ เล่าว่าตอนเด็กๆ เขามักไปปีนเขากับพ่อเพื่อตามหาก้อนหินที่เหมาะกับการทำเป็นหินปราชญ์ ทว่าการเก็บสะสมหินเหล่านี้กลับไม่เป็นที่นิยมนักในปัจจุบัน โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวเกาหลี ซึ่งการที่เขานำมาใส่ในหนัง Parasite คือว่าเป็น “ตัวเลือกที่แปลกประหลาดโดยเจตนา” แน่นอนว่ามันเป็นการอุปมาอุปไมยถึงอะไรบางอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ปฏิเสธที่จะบอกความหมายว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่

“ผู้ชมชาวเกาหลีเข้าใจถึงการตีความและวิเคราะห์สัญลักษณ์ทั้งหมดในหนัง ฉะนั้นผมเลยสนุกกับตรงนี้มากๆ” บงจุนโฮบอก “แต่มันจะเป็นสัญลักษณ์ได้ยังไงกันล่ะถ้าผมบอกไปว่ามันหมายถึงอะไร?”

ฉะนั้นในระหว่างการถ่ายทำ บงจุนโฮ จึงปฏิเสธที่จะบอกความหมายของมันแก่นักแสดง ทำให้แต่ละคนมีการตีความแตกต่างกัน อย่างเช่น ชเวอูชิก นักแสดงวัย 29 ปีที่รับบทเป็น คิมกีอู ลูกชายของบ้านกึ่งใต้ดินที่มองว่ามันคือความกดดันของตัวละครของเขา

“ผมเห็นว่ามันเห็นตัวแทนของแรงกดดันอย่างหนัก กีอูรู้สึกว่าเขาจะต้องดูแลครอบครัวและหาทางที่จะก้าวหน้าให้ได้” แต่เมื่อการถ่ายทำดำเนินไปเรื่อยๆ ความคิดของชเวเริ่มเปลี่ยนไป “ผมเริ่มคิดว่ามันอาจเป็นความต้องการใช้ทางลัดของครอบครัว เพราะพวกเขาเริ่มใช้กลโกงเพื่อกระโดดขึ้นไปสู่ระดับสังคมที่สูงขึ้น”

เมื่อจุดวิกฤติกลางเรื่อง ครอบครัวคิมถูกบีบบังคับให้ต้องหนีออกจากบ้านหรูหราไปสู่บ้านซ่อมซ่อของตัวเองท่ามกลางฝนตกหนัก แต่พวกเขากลับพบว่าบ้านถูกน้ำท่วม ในขณะที่แต่ละคนลุยน้ำเพื่อเก็บของมีค่า กีอูกลับมองเห็นหินที่ลอยน้ำอยู่ “จริงๆ ในบทหินมันไม่ได้ลอยน้ำนะ” ชเวเล่า “แต่ตอนถ่ายอยู่ ผู้กำกับบงจุนโฮบอกว่า ‘รู้ไหม ฉันคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าหินนั่นลอยน้ำ’ ผมถึงกับบอกว่า ‘ว่าไงนะ?”

หลังจากนั้นครอบครัวของเขาจึงต้องระเหเร่ร่อนไปนอนอยู่ในอาคารหลบภัย กีอู บอกกับพ่อของตัวเองว่าเขารู้สึกว่าหินติดตามเขามา “ผมคิดว่ามันหมายถึงความปรารถนาในหัวใจของกีอูที่จะไม่ยอมแพ้ที่ว่าเขาจะต้องเป็นคนที่ทำให้ชีวิตของครอบครัวดีขึ้น” ซงคังโฮ ผู้รับบทเป็นพ่อกล่าว ด้วยเหตุนี้มันอาจสื่อความหมายได้อย่างดีตรงกับตำนานซิซิฟัสที่ถูกสาปให้กลิ้งหินขึ้นภูเขาไปตลอดกาล หรือตรงกับสำนวน “เข็นครกขึ้นภูเขา” ของบ้านเรา

“แต่ท้ายที่สุดกีอูก็โดนหินทุบกระโหลกเข้า” ซงคังโฮบอก