ย้อนกลับไปในปี 2005 บ็อบ ไอเกอร์ ได้ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของดิสนีย์แทน ไมเคิล ไอส์เนอร์ สี่ปีต่อมาในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด ดิสนีย์ภายใต้การบริหารของไอเกอร์ก็พยายามที่จะเข้าซื้อมาร์เวลเอ็นเตอร์เทนเมนท์เพื่อเข้าคุมมาร์เวลสตูดิโอ ค่ายหนังที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหลังจากปล่อยหนังเปิดศักราชใหม่ของหนังฮีโร่อย่าง Iron Man
แม้ว่ามาร์เวลสตูดิโอจะมีชื่อเสียงมากเพียงไหน แต่ บ็อบ ไอเกอร์ กลับออกมาเล่าเรื่องชวนอึ้งในหนังสือ The Ride of a Lifetime: Lessons Learned From 15 Years As CEO of the Walt Disney Company ว่าตอนที่ได้พูดคุยกับผู้บริหารคนอื่นๆ เรื่องการเข้าซื้อมาร์เวล หลายคนกลับแสดงความเห็นว่ามาร์เวลอาจทำให้ภาพลักษณ์ของดิสนีย์เสียหายได้
“การทำงานช่วงแรกๆ ของผมกับไมเคิล ผมร่วมโต๊ะกินข้าวกลางวันกับพวกผู้บริหาร แล้วไมเคิลก็พูดถึงการเข้าซื้อมาร์เวล แต่ผู้บริหารหลายคนกลับคัดค้าน” ไอเกอร์เล่า “มาร์เวลแหวกแนวเกินไป พวกเขาบอกแบบนั้น มันอาจทำให้แบรนด์ของดิสนีย์เสื่อมเสีย ซึ่งตอนนั้นมันคือการสันนิษฐาน”
“ดิสนีย์คือแบรนด์ขนาดใหญ่ และธุรกิจของเราทั้งหมดอยู่ภายใต้ร่มเงาของดิสนีย์ ผมรู้สึกได้ว่าไมเคิลรู้ดียิ่งกว่าใคร แต่ปฏิกิริยาทางลบที่มีต่อแบรนด์หรือคำเตือนที่ว่ามันอาจไม่ได้รับการจัดการที่ดีกลับทำให้เขาเอามาครุ่นคิด”
ในที่สุดดิสนีย์ก็เข้าซื้อมาร์เวลด้วยมูลค่า $4.24 พันล้าน ตั้งแต่นั้นมาดิสนีย์ก็สร้างรายได้จากหนังในเครือมาร์เวลไปมากกว่า $18 พันล้าน เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แถมยังเป็นรายได้ที่ทำได้มากกว่าค่ายหนังที่ซื้อมาก่อนหน้าอย่าง ลูคัสฟิล์ม และ พิกซาร์ เสียอีก
